๑.เตมียชาดก  ๒ ชนกชาดก
 ๓. สุวรรณสามชาดก ๔. เนมิราชชาดก
๕ มโหสถชาดก ๖ ภูริทัตชาดก
๗ จันทชาดก ๘ นารทชาดก
๙ วิทูรชาดก
 

 

เรื่องที่

มโหสถชาดก 

ในเมืองมิถิลา มีเศรษฐีผู้หนึ่งมีนามว่า สิริวัฒกะ ภรรยาชื่อ นางสุมนาเทวี
นางสุมนาเทวีมีบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อคลอด ออกมานั้นมีแท่งโอสถอยู่ในมือ
เศรษฐีสิริวัฒกะเคยเป็นโรค ปวดศีรษะมานาน จึงเอาแท่งยานั้นฝนที่หินบดยา
แล้วนำมา ทาหน้าผาก อาการปวดศีรษะก็หายขาด ครั้นผู้อื่นที่มีโรคภัย
ไข้เจ็บมาขอปันยานั้นไปรักษาบ้าง ก็พากันหายจากโรค เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
เศรษฐีจึงตั้งชื่อบุตรว่า "มโหสถ" เพราะทารกนั้นมีแท่งยาวิเศษ เกิดมากับตัว

เมื่อมโหสถเติบโตขึ้น ปรากฏว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ครั้งหนึ่งมโหสธเห็นว่า ในเวลาฝนตก ตนและเพื่อนเล่นทั้งหลายต้องหลบฝน
ลำบากลำบนเล่นไม่สนุก จึงขอให้เพื่อนเล่นทุกคนนำเงินมารวมกันเพื่อสร้างสถานที่เล่น
มโหสธจัดการออกแบบอาคารนั้นอย่างวิจิตรพิสดาร

นอกจากที่เล่นที่กินและที่พักสำหรับคนที่ผ่านไปมาแล้ว ยังจัดสร้างห้อง วินิจฉัยคดีด้วย
เพราะความที่มโหสธเป็นเด็กฉลาดเฉลียวเกินวัยจึงมักมีผู้คนมาขอให้ตัดสินปัญหาข้อพิพาท
หรือแก้ใขปัญหาขัดข้อง ต่างๆ อยู่ เสมอ

ชื่อเสียงของมโหสธเลื่องลือไปไกลทั่วมิถิลานคร

ในขณะนั้นกษัตริย์เมืองมิถิลา ทรงพระนามว่า พระเจ้าวิเทหราช ทรงมีนักปราชญ์
ราชบัณฑิตประจำ ราชสำนัก ๔ คน คือ เสนกะ ปุกกุสะกามินทะ และ เทวินทะ
บัณฑิตทั้ง ๔ เคยกราบทูลว่า จะมี บัณฑิต คนที่ห้ามาสู่ราชสำนักพระเจ้าวิเทหราช
พระองค์จึงโปรดให้ เสนาออกสืบข่าวว่า มีบัณฑิตผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่องอยู่ที่ใดบ้าง
เสนาเดินทางมาถึงบริเวณบ้านของสิริวัฒกะเศรษฐี เห็นอาคารงดงาม จัดแต่งอย่างประณีต
บรรจง จึงถามผู้คนว่าใครเป็นผู้ออกแบบ คนก็ ตอบว่า ผู้ออกแบบคือมโหสถบัณฑิต
บุตรชายวัย ๗ ขวบ ของสิริวัฒกะ เศรษฐี

เสนาจึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ตรัสเรียกบัณฑิตทั้ง ๔ มา
ปรึกษาว่าควรจะไปรับมโหสธมาสู่ราชสำนักหรือไม่ บัณฑิตทั้ง ๔ เกรงว่ามโหสธ
จะได้ดีเกินหน้าตนจึงทูลว่า ลำพังการออกแบบตกแต่งอาคารไม่นับว่าผู้นั้นจะมี
สติปัญญาสูงถึงขั้นบัณฑิต ขอให้รอดูต่อไปว่า มโหสธจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
จริงหรือไม่

ฝ่ายมโหสธนั้นมีชาวบ้านนำคดีความต่างๆ มาให้ตัดสินอยู่เป็นนิตย์ เป็นต้นว่า
ชายเลี้ยงโคนอนหลับไป มีขโมยเข้ามาลักโค เมื่อตามไปพบ ขโมยก็อ้างว่าตน
เป็นเจ้าของโค ต่างฝ่ายต่างถกเถียงอ้างสิทธิ์ ไม่มีใคร ตัดสินได้ว่าโคนั้นเป็นของใคร
จึงพากันไปหามโหสถ มโหสถถามชาย เจ้าของโคว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร
ชายนั้นก็เล่าให้ฟัง มโหสธจึงถาม ขโมยว่า
"ท่านให้โคของท่านกินอาหารอะไรบ้าง" ขโมยตอบว่า
"ข้าพเจ้าให้กินงา กินแป้ง ถั่ว และยาคู"
มโหสธถามชายเจ้าของโค ชายนั้นก็ตอบว่า
"ข้าพเจ้าให้โคกิน หญ้าตามธรรมดา"
มโหสธจึงให้ เอาใบไม้มาตำให้โคกินแล้วให้กินน้ำ
โคก็สำรอกเอาหญ้าออกมา จึงเป็นอันทราบว่าใครเป็นเจ้าของโคที่แท้จริง

พระเจ้าวิเทหราชได้ทราบเรื่องการตัดสินความของมโหสธก็ปรารถนาจะเชิญมโหสธา
สู่ราชสำนัก แต่บัณฑิตทั้งสี่ก็คอยทูล ทัดทานไว้เรื่อยๆ ทุกครั้งที่มโหสธแสดงสติปัญญา
ในการตัดสินคดี

พระเจ้าวิเทหราชทรงทดลองสติปัญญามโหสธด้วยการตั้งปัญหา ต่างๆก็ปรากฏว่า
มโหสธแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง เช่น เรื่องท่อนไม้ ที่เกลาได้เรียบเสมอกัน
พระเจ้าวิเทหราชทรงตั้งคำถามว่า ข้างไหนเป็นข้าง ปลายข้างไหนเป็นข้างโคน
มโหสธก็ใช้วิธีผูกเชือก กลางท่อนไม้นั้น แล้วหย่อนลงในน้ำ
ทางโคนหนักก็จมลง ส่วนทาง ปลายลอยน้ำ เพราะน้ำหนักเบากว่าไม้ มโหสธก็ชี้ได้ว่า
ทางไหน เป็นโคนทางไหนเป็นปลาย

นอกจากนี้มโหสธยังแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ อีกเป็นอันมาก จนในที่สุดพระราชาก็ไม่อาจ
ทนรอตามคำ ทัดทานของ บัณฑิตทั้งสี่ อีกต่อไป จึงโปรดให้ราชบุรุษไปพาตัวมโหสธ
กับบิดามา เข้าเฝ้าพร้อมกับให้นำ ม้าอัสดรมาถวายด้วย

มโหสธทราบดีว่าครั้งนี้ เป็นการทดลองสำคัญ จึงนัดหมายการอย่างหนึ่งกับบิดา และ ใน
วันที่ไปเฝ้าพระราชา มโหสธให้คนนำลามาด้วยหนึ่งตัว เมื่อเข้าไปถึงที่ประทับ พระราชา
โปรดให้สิริวัฒกะเศรษฐีนั่งบนที่ อันสมควรแก่เกียรติยศ ครั้นเมื่อมโหสธเข้าไป สิริวัฒกะ
ก็ลุกขึ้น เรียกบุตรชายว่า

"พ่อมโหสธ มานั่งตรงนี้เถิด"

แล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง มโหสธก็ตรงไปนั่งแทนที่บิดา ผู้คนก็พากันมองดูอย่างตำหนิ
ที่มโหสธทำเสมือนไม่เคารพบิดา มโหสธจึง ถามพระราชาว่า

"พระองค์ไม่พอพระทัยที่ข้าพเจ้านั่งแทนที่บิดาใช่หรือไม่"

พระราชาทรงรับคำ มโหสธ จึงถามว่า

" ข้าพเจ้าขอทูลถามว่า ธรรมดาบิดาย่อมดีกว่าบุตรสำคัญกว่าบุตรเสมอไปหรือ"

พระราชา ตรัสว่า

"ย่อมเป็นอย่างนั้น บิดาย่อมสำคัญกว่าบุตร"

มโหสธทูลต่อว่า

"เมื่อข้าพเจ้ามาเฝ้า พระองค์มีพระกระแสรับสั่งว่าให้ข้าพเจ้านำม้าอัสดรมาถวายด้วย
ใช่ไหมพระเจ้าค่ะ"

พระราชาทรงรับคำ มโหสธจึงให้คนนำลาที่เตรียมเข้ามา ต่อพระพักตร์ แล้วทูลว่า

"เมื่อพระองค์ตรัสว่าบิดาย่อมสำคัญ กว่าบุตร ลาตัวนี้เป็นพ่อของม้าอัสดร หากพระองค์
ทรงเห็น เช่นนั้นจริงก็โปรดทรงรับลานี้ไปแทนม้าอัสดรเถิดพระเจ้าค่ะ เพราะม้าอัสดรเกิด
จากลานี้ แต่ถ้าทรงเห็นว่า บุตรอาจดีกว่าบิดาก็ทรงรับเอาม้าอัสดรไปตามที่ทรงมีพระราช
ประสงค์ ถ้าหากพระองค์เห็นว่าบิดาย่อมประเสริฐกว่าบุตรก็ทรงโปรด รับเอาบิดาของข้าพเจ้าไว้
แต่หากทรงเห็นว่าบุตรอาจประเสริฐ กว่าบิดา ก็ขอให้ทรงรับข้าพเจ้าไว้"

การที่มโหสธกราบทูลเช่นนั้น มิใช่จะลบหลู่ดูหมิ่นบิดา แต่เพราะประสงค์จะให้ผู้คนทั้งหลาย
ตระหนักใน ความเป็นจริงของโลก และเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีผู้จงใจผูกขึ้น คือบัณฑิตทั้งสี่นั้นเอง
พระราชาทรงพอพระทัยในปัญญาของมโหสธจึงตรัสแก่ สิริวัฒกะเศรษฐีว่า

"ท่านเศรษฐี เราขอมโหสธไว้ เป็นราชบุตร จะขัดข้องหรือไม่"

เศรษฐีทูลตอบว่า

"ข้าแต่พระองค์ มโหสธยังเด็กนัก อายุ เพิ่ง ๗ ขวบ เอาไว้ให้โตเป็นผู้ใหญ่ก่อน
น่าจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ"

พระราชาตรัสตอบว่า

"ท่านอย่าวิตกในข้ที่ว่ามโหสธยังอายุ น้อยเลย มโหสธเป็นผู้มี ปัญญาเฉียบแหลมยิ่งกว่า
ผู้ใหญ่ จำนวนมาก เราจะเลี้ยงมโหสธในฐานะราชบุตรของเราท่านอย่ากังวล ไปเลย"

มโหสธจึงได้เริ่มรับราชการกับ พระเจ้าวิเทหราชนับตั้งแต่นั้นมา ตลอดเวลาที่อยู่ในราชสำนัก
มโหสธได้แสดงสติปัญญาและความสุขุมลึกซึ้งในการพิจารณาแก้ไขปัญหา ข้อขัดข้อง ทั้งปวง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่พระราชาทรงผูกขึ้นลองปัญญา มโหสธ หรือที่บัณฑิตทั้งสี่พยายาม
สร้างขึ้นเพื่อให้มโหสธ อับจนปัญญา แต่มโหสธก็แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ทุกครั้งไป
มิหนำซ้ำในบางครั้ง มโหสธยังได้ช่วยให้บัณฑิตทั้งสี่นั้นรอดพ้นความอับจน
แต่บัณฑิตเหล่านั้นมิได้กตัญญูรู้คุณ ที่มโหสธกระทำแก่ตน กลับพยายามทำให้พระราชา
เข้าพระทัยว่ามโหสธด้อยปัญญา พยายามหาหนทางให้พระราชา ทรงรังเกียจมโหสธ
เพื่อที่ตนจะได้รุ่งเรืองในราชสำนัก เหมือนสมัยก่อน

มโหสธรุ่งเรืองอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช ได้รับการ สรรเสริญจากผู้คนทั้งหลาย
จนมีอายุได้ ๑๖ ปี พระมเหสีของพระราชาผู้ทรงรักใคร่มโหสธเหมือนเป็นน้องชาย
ทรงประสงค์ จะหาคู่ครองให้ แต่มโหสธขอพระราชทานอนุญาตเดินทาง
ไปเสาะหาคู่ครองที่ตนพอใจด้วยตนเอง พระมเหสีก็ทรงอนุญาต มโหสธเดินทางไป

ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นลูกสาวเศรษฐีเก่าแก่แต่ได้ยากจนลง
หญิงสาวนั้นชื่อว่าอมร มโหสธปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้า ไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาของนาง
และได้ทดลองสติปัญญาของนางด้วยประการต่างๆ เป็นต้นว่า ในครั้งแรกที่พบกันนั้น
มโหสธถามนางว่า

"เธอชื่ออะไร"

นางตอบว่า

"สิ่งที่ดิฉันไม่มีอยู่ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั่นแหล่ะ เป็นชื่อ ของดิฉัน"

มโหสธ พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า

"ความไม่ตายเป็นสิ่ง ไม่มีอยู่ในโลก เธอชื่อ อมร ( ไม่ตาย ) ใช่ไหม "

หญิงสาวตอบว่า ใช่
มโหสธถามต่อว่า นางจะนำข้าวไปให้ใคร
นางตอบว่า นำไป ให้บุรพเทวดา มโหสธก็ ตีปริศนาออกว่า บุรพเทวดาคือเทวดา
ที่มีก่อนองค์อื่นๆ ได้แก่ บิดา มารดา เมื่อมโหสธได้ทดลองสติปัญญาและความประพฤติ
ต่างๆของ นางอมรจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขอนางจาก บิดา มารดา พากลับ ไปกรุงมิถิลา
เมื่อไปถึงยังเมือง ก็ยังได้ทดลองใจนางอีกโดย มโหสธแสร้งล่วงหน้าไปก่อน แล้วแต่งกาย
งดงามรออยู่ในบ้าน ให้คนพานางมาพบกล่าวเกี้ยวพาราสีนาง นางก็ไม่ยินดีด้วย
มโหสธจึงพอใจนาง จึงพาไปเฝ้าพระราชาและพระมเหสี พระราชาก็โปรดให้มโหสธ
แต่งงานอยู่กินกับนางอมร ต่อมา บัณฑิตทั้งสี่ยังพยายามที่จะกลั่นแกล้งมโหสธ
ด้วยประการ ต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล แม้ถึงขนาดพระราชาหลงเข้าพระทัยผิด ขับไล่มโหสธ
ออกจากวัง มโหสธก็มิได้ขุ่นเคือง แต่ยังจงรักภักดี ต่อพระราชา พระราชาจึงตรัสถามมโหสธว่า

"เจ้าเป็นผู้มีสติปัญญา หลักแหลมยิ่งหากจะหวังช่วงชิงราชสมบัติจากเราก็ย่อมได้ เหตุใด
จึงไม่คิดการร้ายต่อเรา"

มโหสธทูลตอบว่า

"บัณฑิตย่อม ไม่ทำชั่ว เพื่อให้ได้ความสุข สำหรับตน แม้จะถูกทับถมให้เสื่อมจาก ลาภยศ
ก็ไม่คิดสละธรรมะด้วยความหลงในลาภยศ หรือด้วย ความรักความชัง
บุคคลนั่งนอนอยู่ใต้ร่มไม้ ย่อมไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น เพราะจะได้ชื่อว่าทำร้ายมิตร
บุคคลที่ได้รับการ เกื้อหนุนอุปการะจากผู้ใด ย่อมไม่ทำให้ไมตรีนั้นเสียไปด้วย
ความโง่เขลา หรือความหลงในยศอำนาจ บุคคลผู้ครองเรือน หากเกียจคร้าน ก็ไม่งาม
นักบวชไม่สำรวม ก็ไม่งาม พระราชา ขาดความพินิจพิจารณาก็ไม่งาม บัณฑิตโกรธง่าย
ก็ไม่งาม"

ไม่ว่าบัณฑิตทั้งสี่จะกลั่นแกล้งมโหสธอย่างใด มโหสธก็ สามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง
และมิได้ตอบแทน ความชั่วร้าย ด้วยความชั่วร้าย แต่กลับให้ความเมตตากรุณาต่อบัณฑิต
ทั้งสี่เสมอมา

นอกจากจะทำหน้าที่พิจารณาเรื่องราว แก้ไขปัญหาต่างๆ มโหสธยังได้เตรียม
การป้องกันพระนครในด้านต่างๆ ให้พร้อมเสมอด้วย และยังจัดผู้คนไปอยู่ตามเมืองต่างๆ
เพื่อคอยสืบข่าวว่า จะมีบ้านเมืองใด มาโจมตีเมืองมิถิลาหรือไม่

มีพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า จุลนีพรหมทัต ครองเมือง อุตรปัญจาล
ประสงค์จะทำสงครามแผ่ เดชานุภาพ จึงทรงคิด การกับปุโรหิตชื่อ เกวัฏพราหมณ์
หมายจะลวงเอากษัตริย์ ร้อยเอ็ดพระนครมา กระทำสัตย์สาบานแล้วเอาสุราเจือยาพิษ
ให้กษัตริย์เหล่านั้นดื่ม จะได้รวบรวมพระนครไว้ในกำมือ

มโหสธได้ทราบความลับจากนกแก้วที่ส่งออกไปสืบข่าว จึงหาทางช่วย ชีวิตกษัตริย์
ทั้งร้อยเอ็ดไว้ได้ โดยที่ กษัตริย์เหล่านั้นหารู้ตัวไม่

พระเจ้าจุลนีทรงเห็นว่ามิถิลาเป็นเมืองเดียวที่ไม่ยอมทำ สัตย์สาบาน จึงยกทัพใหญ่มุ่งไปโจมตี
มิถิลา มีเกวัฏพราหมณ์ เป็นที่ปรึกษาใหญ่ แต่ไม่ว่าจะโจมตีด้วยวิธีใด มโหสธ ก็รู้ทัน
สามารถตอบโต้และแก้ไขได้ ทุกครั้งไป

ในที่สุดพระเจ้าจุลนีทรงส่งเกวัฏพราหมณืมาประลองปัญญา ทำสงครามธรรมกับมโหสธ

มโหสธออกไปพบเกวัฏพราหมณ์ โดยนำเอาแก้วมณีค่าควรเมืองไปด้วย แสร้งบอกว่า
จะยกให้ พราหมณ์ แต่เมื่อส่ง ให้ก็วางให้ที่ปลายมือพราหมณ์เกวัฏ
เกรงว่าแก้วมณีจะตกจึงก้มลงรับ แต่ก็ไม่ทัน แก้วมณีตกลงไป กับพื้น
เกวัฏก้มลงเก็บด้วยความโลภ มโหสธจึงกดคอเกวัฏไว้ ผลักให้กระเด็นไป
แล้วให้ทหารร้องประกาศว่า เกวัฏปราหมณ ์ก้มลงไหว้มโหสธ แล้วถูกผลักไปด้วยความรังเกียจ

บรรดาทหารของพระเจ้าจุลนีมองเห็นแต่ภาพเกวัฏพราหมณ์ ก้มลงแทบเท้า
แต่ไม่ทราบว่าก้มลงด้วยเหตุใด ก็เชื่อตามที่ ทหารของมโหสธป่าวประกาศ
พากันกลัวอำนาจมโหสธ ถอยหนีไปไม่เป็นกระบวน กองทัพพระเจ้าจุลนีก็แตกพ่ายไป

เกวัฏพราหมณ์คิดพยาบาทมโหสธอยู่ไม่รู้หาย จึงวางอุบายให้พระเจ้าจุลนีส่งทูตไปทูล
พระเจ้าวิเทหราชว่าจะขอทำสัญญาไมตรี และขอถวายพระราชธิดาให้เป็นชายา
พระเจ้าวิเทหราชทรงมี ความยินดีจึงทรงตอบรับเป็นไมตรี พระเจ้าจุลนีก็ขอให้
พระเจ้าวิเทหราชเสด็จมาอุตรปัญจาล

มโหสธพยายาม ทูลคัดค้าน พระราชาก็มิได้ฟังคำ มโหสธก็เสียใจว่าพระราชา
ลุ่มหลงในสตรี แต่กระนั้นก็ยังคงจงรักภักดี จึงคิดจะแก้อุบาย ของพระเจ้าจุลนี
มโหสธ จึงทูลขออนุญาตไปจัดเตรียมที่ประทับให้พระราชในเมืองอุตรปัญจาล
ก็ได้รับอนุญาต มโหสธจึงให้ ผู้คนไปจัดสร้างวังอันงดงาม และที่สำคัญคือจัดสร้าง
อุโมงค์ใต้ดิน เป็นทางเดินภายในอุโมงค์ประกอบด้วยกลไกและประตูลับ ต่างๆ
ซับซ้อนมากมาย เมื่อเสร็จแล้วมโหสธจึงทูลเชิญ ให้พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปยัง
อุตรปัญจาล ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชประทับอยู่ในวัง รอที่จะอภิเษกกับ พระธิดา
พระเจ้าจุลนี พระเจ้าจุลนีทรงยก กองทหารมาล้อมวังไว้

มโหสธซึ่งเตรียมการไว้แล้วก็ลอบลงไปทางอุโมงค์เข้าไปใน ปราสาทพระเจ้าจุลนี
ทำอุบายหลอกเอาพระชนนี พระมเหสี พระราชบุตร และราชธิดาพระเจ้าจุลนีมากัก
ไว้ใต้วังที่สร้างขึ้น นั้นแล้วจึงกลังไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช พระเจ้าวิเทหราชตกพระทัย
ว่ากองทหารมาล้อมวัง ตรัสปรึกษามโหสธ มโหสธจึงทูลเตือนพระราชาว่า

"ข้าพระองค์ได้กราบทูล ห้าม มิให้ทรงประมาท แต่ก็มิได้ทรงเชื่อ พระราชบิดาพระเจ้าจุลนี
นั้นประดุจเหยื่อที่นำมาตกปลา การทำไมตรีกับผู้ไม่มีศีลธรรม ย่อมนำความทุกข์มาให้
ธรรมดาบุคคลผู้มี ปัญญา ไม่พึงทำ ไมตรีสมาคมกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ซึ่งเปรียบเสมือนงู
ไว้วางใจ มิได้ย่อมนำความเดือดร้อน มาสู่ไมตรีนั้น ไม่มีทางสำเร็จผลได้"

พระเจ้าวิเทหราชทรงเสียพระทัยที่ไม่ทรงเชื่อคำทัดทานของมโหสธแต่แรก มโหสธจัดการ
นำพระเจ้า วิเทหราช ไปพบพระชนนี พระมเหสี และพระโอรสธิดาของพระเจ้าจุลนี ที่ตนนำมา
ไว้ในอุโมงค์ใต้ดินแล้วจัดการให้กองทัพที่เตรียมไว้ นำเสด็จกษัตริย์ทั้งหลายกลับไปมิถิลา
ส่วนตัวมโหสธเองอยู่ เผชิญหน้า กับพระเจ้าจุลนี เมื่อพระเจ้าจุลนีเสด็จมาประกาศว่าจะจับ
พระเจ้าวิเทหราช มโหสธจึงบอกให้ทรงทราบว่า พระเจ้าวิเทหราชเสด็จกลับมิถิลาแล้ว
พร้อมด้วย พระราชวงศ์ ของพระเจ้าจุลนี พระราชาก็ทรงตกพระทัย เกรงว่าพระญาติวงศ์
จะเป็นอันตราย มโหสธจึงทูลว่า ไม่มีผู้ใด จะทำอันตราย แล้วจึงทูลเชิญพระเจ้าจุลนีทอด
พระเนตรวังและ อุโมงค์ที่จัดเตรียมไว้อย่างวิจิตรงดงาม ขณะที่พระเจ้าจุลนีกำลัง
ทรงเพลิดเพลิน มโหสธก็ปิดประตูกลทั้งปวง และหยิบดาบที่ซ่อนไว้ ทำทีว่าจะ
ตัดพระเศียรพระราชา พระราชาตกพระทัยกลัว มโหสธจึงทูลว่า

"ข้าพระองค์จะไม่ทำร้ายพระราชา แต่หากจะฆ่า ข้าพระองค์เพราะแค้นพระทัย
ข้าพระองค์ก็จะถวายดาบนี้ให้"

พระราชาเห็นมโหสธส่งดาบถวายก็ทรงได้สติ เห็นว่ามโหสธ นอกจากจะประกอบด้วย
ความสติปัญญาประเสริฐแล้ว ยังเป็น ผู้ไม่มีจิตใจมุ่งร้ายพยาบาทผู้ใด พระเจ้าจุลนีจึงตรัสขออภัยที่
ได้เคยคิดร้ายต่อเมืองมิถิลา ต่อพระเจ้าวิเทหราช และต่อมโหสธ มโหสธจึงทูลลากลับไปมิถิลา
จัดให้กองทหารนำเสด็จพระชนนี พระมเหสี และพระราชบุตร ของพระเจ้าจุลนีกลับมายัง
อุตรปัญจาล ส่วนราชธิดานั้นคงประทับอยู่มิถิลา ในฐานะ พระชายาพระเจ้า วิเทหราชต่อไป

พระเจ้าจุลนีทรงตรัสขอให้มโหสธมาอยู่กับพระองค์ มโหสธ ทูลว่า

"ข้าพระองค์รับราชการรุ่งเรืองในราช สำนักของพระเจ้า วิเทหราชผู้เป็นเจ้านายของ
ข้าพระองค์แต่เดิม ไม่อาจจะไปอยู่ที่ อื่นได้หากเมื่อใด พระเจ้าวิเทหราชสวรรคต
ข้าพระองค์จะไป อยู่เมืองอุตรปัญจกาล รับราชการอยู่ในราชสำนัก ของ พระองค์"

เมื่อพระเจ้าวิเทหราชสิ้นพระชนม์ มโหสธก็ทำตามที่ ลั่นวาจาไว้ คือไปรับราชการ
อยู่กับพระเจ้าจุลนี และยังถูกกลั่นแกล้งจากเกวัฏพราหมณ์คู่ปรับเก่า แต่มโหสธก็
เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง มโหสธนอกจากจะมีสติปัญญา เฉลียวฉลาดแล้ว
ยังประกอบด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ มีความสุขุมรอบคอบ มิได้หลงใหล
ในลาภยศสรรเสริญ ดังนั้นมโหสธจึงได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเป็น บัณฑิตผู้มี
ความรู้อันลึกซึ้ง มีสติ ปัญญานั้นประกอบด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ที่กำกับให้ผู้
มีสติปัญญาประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : webmaster@yahoo.com